นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ใน
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565 ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาตนพร้อมคณะกรรมการได้ลงพื้นที่ศึกษาและทำวิจัยพบว่า ประเทศถอยหลังไปมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และไร้ที่ยืนบนเวทีโลก ประชาชนจำนวนมากมีหนี้ท่วมท้นและสะสมเป็นเวลานาน ปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จำเป็นต้อง ‘คิดใหญ่’ เพราะหากคิดเล็กจะรับมือปัญหามากมายขนาดนี้ไม่อยู่ และต้อง ‘ทำเป็น’ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ ยืนยันได้จากผลงานตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เราสามารถคืนความสุข ความเจริญ ความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชนได้ หัวข้อในแคมเปญรณรงค์ต่อจากนี้ จึงเปลี่ยนจาก ‘พรุ่งนี้เพื่อไทย’ เป็น ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย หากบริหารประเทศนาน 4 ปี ที่ผ่านมา ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1.นโยบายเศรษฐกิจ หลักการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ยังคงถูกต้องและยึดเป็นแนวทางเสมอมาและตลอดไป จากปี 2566 จนถึงปี 2570 พรรคเพื่อไทยทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพรรคเพื่อไทยจะใช้แนวคิด “รดน้ำที่ราก” เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด
รากแก้วที่สำคัญคือครอบครัว เราจะใช้ซอฟต์พาวเวอร์ ( Soft Power) เป็นพลังขับเคลื่อน โดยการดึงศักยภาพของอย่างน้อย 1 คนในทุกครอบครัว ให้ได้รับโอกาสในการอบรม บ่มเพาะ ทักษะสร้างสรรค์ที่มีความถนัดให้ดีขึ้น โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำได้ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด จนถึงระดับประเทศ ในสถาบันอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนกว่า 800 แห่ง เมื่อเห็นศักยภาพที่เด่นชัดจะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาไปฝึกอบรมทักษะระดับโลกต่อในต่างประเทศ
ทักษะสร้างสรรค์ Soft Power ด้านต่างๆ เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง คนเขียนบท ยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนท์ นักออกแบบมัลติมีเดีย นักกีฬา หรือสปาเทอราปิสต์ จะทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท และในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
พรรคเพื่อไทยจะสร้างแนวทางหารายได้ใหม่ให้กับประชาชนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่คู่ขนานไปกับรายได้ดั้งเดิม จึงแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะพรรคเพื่อไทย ‘ไม่ใช่แค่พักหนี้’ แต่ ‘ล้างหนี้’ จนหมดสิ้น
พรรคเพื่อไทยจะเปิดโอกาสให้คนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว หรือวิสาหกิจชุมชนที่กำลังเติบโต สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้หลากหลายด้วยดอกเบี้ยต่ำ มีกองทุนหมู่บ้านที่ขยายบทบาทมากขึ้น กองทุนร่วมทุน และการระดมทุนแบบ crowdfunding ส่งเสริมการแข่งขันพัฒนาธุรกิจของขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจทุกขั้นตอนแบบ one stop service , สร้างกติกาการแข่งขันที่เสรีและเท่าเทียม ทลายการผูกขาดในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กีดขวางความคิดสร้างสรรค์ของรายเล็กรายย่อย เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ผลไม้
2. นโยบายด้านการเกษตร ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยนำเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech มาใช้ เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง ใช้การตลาดนำการผลิต ไม่มีการทำการเกษตรแบบไร้เป้าหมาย สินค้าการเกษตรต้องขึ้นยกแผง มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ให้ต่างชาติมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ราคาพืชผลเกษตรจึงขึ้นยกแผงทุกตัว เพราะเคยทำมาแล้ว และจะทำต่อไป
3.นโยบายด้านการท่องเที่ยว ในปี 2570 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยจำนวนมาก รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทต่อปี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลก เทศกาลของไทย 2 เทศกาลคือ สงกรานต์ในเดือนเมษายน และลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายนเป็นเทศกาลระดับโลกที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ในปฏิทิน ประเทศไทยน่าอยู่สำหรับชาวต่างชาติและคนไทย
4.นโยบายด้านนวัตกรรม พรรคเพื่อไทยสร้างโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ของไทยเอง ที่เป็นช่องทางในการขายสินค้าเกษตร รวมทั้งสินทรัพย์ที่เกิดจากซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนเป็นช่องทางเงินทุนให้กับนักธุรกิจรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น Start up หรือ SME
นอกจากนั้น พรรคเพื่อไทยยังส่งเสริมงานวิจัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมของ Asean มีการใช้เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ( CBDC : Central Bank Digital Currency) แทนเงินสด ป้องกันการคอร์รัปชันในการเมืองแบบ ‘ลิงกินกล้วย’ ทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี ประชาชนทุกคนมีบัญชีธนาคาร และมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ของตนเอง
รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้าถึงบริการของรัฐทำได้ง่าย สะดวก ทุกหมู่บ้านของประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่สาธารณะทุกแห่งมี wifi ฟรี
5.นโยบายด้านสาธารณสุข ในปี 2570 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกอัพเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รับการรักษาได้ทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะข้อมูลสุขภาพถูกเชื่อมไว้บนศูนย์ข้อมูล หรือ Cloud เมื่อเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงยื่นบัตรประชาชนแล้วอนุญาตให้แพทย์ผู้รักษาเข้าถึงข้อมูลการรักษาได้
ในปี 2570 ผู้ป่วยโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางกายอื่นๆ ที่ต้องการขอคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางได้รับการรักษาที่ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล เพราะแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกลหรือ Telemedicine ได้ การนัดคิวตรวจเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลทุกแห่ง ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้ามืด ผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดตรวจโรค ก็สามารถทำได้ที่คลินิกหรือศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน
ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและที่ศูนย์ชีวาภิบาล (Hospice) ของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานยังสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ต้องลางาน
การสาธารณสุขเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV : Human Papilloma Virus) อีกทั้งยังตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ-ซี ซึ่งโรคดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้ชาย
ปี 2570 โรงพยาบาลของรัฐถูกกระจายอำนาจในรูปแบบองค์การมหาชนที่ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาล มีการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ให้ทันสมัยในทุกระดับตั้งแต่ตำบลถึงมหานคร รวมทั้งมีการฝึก อ.ส.ม. ให้เป็นพยาบาลรัดับต้น ประจำทุกหมู่บ้าน ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลประจำเขตทั้ง 50 เขต
6. นโยบายด้านการศึกษา ในปี 2570 มีการกระจายอำนาจการศึกษาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้ว มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศเช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1 มีการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ โดยใช้ครูต่างประเทศมาสอนเสริมร่วมกับครูไทย มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ที่เริ่มต้นสมัยไทยรักไทย ให้ครบทุกจังหวัด
7.นโยบายด้านยาเสพติด พรรคเพื่อไทยมาแล้ว ยาเสพติดต้องหมดไป ‘ยาเสพติดกับเพื่อไทยอยู่ร่วมกันไม่ได้’ จะปราบปรามยาเสพติดเต็มรูปแบบ เด็กไทยตกเป็นทาสยาเสพติด ทำร้ายคนในครอบครัวและผู้อื่นอีกมากมาย และจะบำบัดผู้เสพอย่างทั่วถึงควบคู่กันไปกับการปราบปราม
8.นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง จะถูกแก้ไขทั้งระบบทั่วประเทศ มีการสร้างคลองน้ำเพื่อเชื่อมแม่น้ำหลักเข้าหากัน และมีอ่างเก็บน้ำเป็นแก้มลิงตามเส้นทางน้ำสายหลัก เพื่อให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพ มีการสำรวจสิ่งก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหล โดยเฉพาะถนน แล้วเปิดทางเพื่อให้น้ำไหลลงแม่น้ำสายหลักตามหลักแรงโน้มถ่วงโลก ดังที่เคยทำในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งทำให้น้ำไม่ท่วมมา 20 ปีแล้ว รวมถึงทำทางน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์และทางผันน้ำ เพื่อระบายน้ำลงทะเลให้เร็วขึ้นทั้งสองฝั่งเจ้าพระยา
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยป้องกันน้ำทะเลหนุนไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ ด้วยการถมทะเลด้านบางขุนเทียนจนถึงสมุทรปราการ สมุทรสาคร และเกิดแผ่นดินงอกจำนวนมาก ซึ่งนอกจากป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้แล้ว ยังลดความแออัดของกรุงเทพฯ ที่สำคัญคือ ยังสามารถเอาที่ดินงอกนี้ มาทำเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมดึงดูดรายได้จากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย
9.นโยบายด้านการคมนาคมและขนส่งมวลชน ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค มีการลงทุนในระบบรางครั้งใหญ่ สร้างรถไฟรางคู่ในทุกเส้นทาง ทำให้รถไฟวิ่งได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากที่เคยใช้เวลา 10 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น เส้นทางรถไฟสายใหม่ถูกสร้างขึ้นไปถึงจุดหมายสำคัญ เช่น เชียงราย เชียงของ มุกดาหาร นครพนม ภูเก็ต ส่วนรถไฟความเร็วสูงสร้างจากจีนลงมาถึงไทยแล้วต่อยาวไปถึงสิงคโปร์ เกิดขึ้นแน่นอน
รถไฟฟ้าสายต่างๆในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถูกจัดระเบียบใหม่ เพื่อใช้ระบบตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสายได้ก่อนปี 2570 แน่นอน สนามบินสุวรรณภูมิ จะขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารมากขึ้นจาก 45 ล้านคน เป็น 100 ล้านคน
10.นโยบายด้านพลังงาน โครงสร้างราคาพลังงาน ถูกปรับรื้อตั้งแต่ปี 2566 ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ลดลงทันที จะรณรงค์และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันลง
นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวด้วยว่า ในปี 2570 กติการัฐธรรมนูญจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ นายกรัฐมนตรีถูกเลือกในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากประชาชน มีการกระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากส่วนกลางออกไปส่วนท้องถิ่นมากขึ้น การใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีประชาชนถูกควบคุมด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั้นสูง เพื่อตามเม็ดเงินที่ถูกเบียดบังไป จนมั่นใจได้ว่า เงินภาษีของประชาชนได้ย้อนกลับไปสร้างความเจริญและความสุขให้กับประชาชนทุกบาททุกสตางค์ และมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม
ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยรับใช้ประชาชน ด้วยการทำให้นโยบายทั้งหมดเป็นจริง ไม่มีการย้ายประเทศ มาพร้อมใจกันเปลี่ยนผู้นำง่ายกว่า ช่วงเวลา 4 ปีจากนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอีกครั้ง การเมืองที่มีเสถียรภาพเท่านั้นที่จะทวงคืนเวลา 1 ทศวรรษที่หายไปของเราทุกคนกลับมา
“มาร่วมกัน ‘คิดใหญ่’ และ ‘ทำให้เป็นจริง’ ด้วยการเลือกพรรคเพื่อไทย ทั้งคน ทั้งพรรค เพื่อคนไทยทุกคน เรามากำหนดอนาคตของเรา ในวันเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงค่ะ” นางสาวแพทองธาร กล่าว